1.กลุ่มที่ไม่อักเสบ ซึ่งสามารถแบ่งย่อยได้เป็นสิวอุดตันหัวปิด (สิวหัวขาว) และสิวอุดตันหัวเปิด (สิวหัวดำ) จากการมองด้วยตาเปล่าจะไม่พบลักษณะบวม แดง แต่หากเอาสิวลักษณะดังกล่าวมาตรวจชิ้นเนื้อโดยส่องกล้องจุลทรรศน์จะพบว่าเริ่มมีเซลล์อักเสบมารายล้อมบริเวณที่มีการอุดตันแล้ว

2.กลุ่มที่อักเสบได้แก่ สิวที่เป็นตุ่มแดง หากการอักเสบเป็นมากอาจกลายเป็น สิวหัวหนอง และสิวหัวช้าง รวมทั้งสิวที่มีลักษณะเป็นซีสต์

มักพบสิวบริเวณที่ต่อมไขมันทำงานมาก เช่น ใบหน้า คอ หน้าอก หลังช่วงบน ไหล และต้นแขน มีปัจจัยหลายอย่างที่กระตุ้นให้สิวเป็นมากขึ้น เช่น ฮอร์โมน การมีประจำเดือน การใช้เครื่องสำอางที่อุดตันรูขุมขน (เช่น ครีมบางชนิด รองพื้น) ความเครียด การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ รวมทั้งอาหารโดยเฉพาะอาหารที่มีแป้งและน้ำตาลมาก

 

หลักการรักษาสิว

สิวที่เป็นไม่มากอาจเริ่มต้นด้วยการทายา ซึ่งยาทามีหลายชนิด แต่ละชนิดมีกลไกการออกฤทธิ์ที่ต่างกัน การใช้ยาทาสิวควรใช้มากกว่า 1 ชนิดเพื่อเสริมการออกฤทธิ์และเพื่อป้องกันการดื้อยา หากอาการเป็นมากควรรับประทานยาร่วมด้วย การรักษาสิวควรรักษาต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 2-3 เดือน การรักษาที่ไม่ต่อเนื่องอาจทำให้เกิดการดื้อยาและทำให้รักษายาก รวมทั้งมีโอกาสกลับมาเป็นอีกได้ เมื่อหายแล้วควรมีการใช้ยาเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นสิวซ้ำ

การรักษาสิวมีหลักการง่ายๆ 4 ข้อ  

ข้อแรก : ควรหยุดสาเหตุที่ทำให้เกิดสิว เช่น การงดใช้เครื่องสำอางที่ไม่จำเป็น 

ข้อที่สอง : คืองดสิ่งที่จะทำให้สิวที่เป็นอยู่แล้วเป็นมากขึ้น เช่นการบีบสิว 

ข้อที่สาม : คือการใช้ยา การเลือกยาสิวไม่ว่าจะเป็นยาทาหรือยารับประทาน รวมทั้งการรักษาเสริมขึ้นกับชนิดและความรุนแรงของสิว ซึ่งควรจะปรึกษาแพทย์

ข้อสุดท้าย : ต้องใจเย็น การรักษาสิวส่วนมากใช้เวลาหลายสัปดาห์ สิวบางชนิดเมื่อหายแล้ว อาจกลับเป็นซ้ำได้ ทั้งนี้ขึ้นกับสาเหตุของสิว 

 

การปฏิบัติตนเมื่อเป็นสิว

1. รักษาความสะอาดของใบหน้าโดยล้างหน้าด้วยสบู่ที่มีความอ่อนโยนต่อผิวหน้า 

2. หลีกเลี่ยงการสัมผัสผิวหน้าบ่อยๆ อย่าบีบ แคะ แกะ เกา สิว เพราะจะทำให้เกิดรอยดำและแผลเป็นได้ 

3. หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่ไม่จำเป็น สารเคมีบางชนิดในเครื่องสำอางจะทำให้การอุดตันเป็นมากขึ้น

4. ไม่ควรซื้อยามาทาหรือรับประทานเอง เพราะอาจไม่ตรงกับชนิดของสิวที่เป็น ทำให้ไม่ได้ผลและเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์